วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปิดเทอมที่มี "อะไร" ในความ "ไม่มีอะไร"


“ทรายเล็ก ค่ายสัมผัสชีวิตเปลี่ยนเป็นค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแทนแล้วนะ”
“แก ค่ายเราไม่เลื่อนอ่ะ ค่ายเรางดไปเลย ไม่มีเวลาให้จัดแล้ว :(
“เอิ่มม คือพี่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของน้องๆนะ เมียก็ยังไม่มี กลัวจะชดใช้ไม่ไหว คงต้องขอเลื่อนค่ายออกไปก่อน...”

นี่คงเป็นอีกผลกระทบหนึ่งจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยในครั้งนี้ แต่เมื่อเทียบกับความทุกข์ยากลำบากของชาวบ้านแล้ว แค่ค่ายงด ค่ายเลื่อน แทบจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย จริงอยู่ที่เพื่อนๆหลายคนที่ตั้งใจ ทุ่มเท เตรียมงานกันมาอย่างดี อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกดีๆให้กับผู้ร่วมค่าย ตามแต่จุดประสงค์ของแต่ละค่ายนั้น คงหมดกำลังใจไปบ้าง แต่เราก็เชื่อว่า "ความสุข" ที่เราได้รับในค่ายแต่ละค่ายนั้น การประสบความสำเร็จจากกิจกรรมในค่าย หรือการได้เห็นรอยยิ้มของผู้ร่วมค่ายนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความสำเร็จที่แท้จริงของ(ผู้จัดเตรียม)แต่ละค่ายนั้น มิตรภาพ หรือความรู้สึกดีๆที่มีให้กันต่างหากสำคัญที่สุด ซึ่งฉันเชื่อว่าจะสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างดีในช่วงของการเตรียมค่ายต่างหาก 
ในภาวะนี้ คงไม่มีใครโทษใคร หรือโทษอะไรได้ทั้งนั้น ต้องเห็นใจกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน และให้กำัลังใจกัน สิ่งนี้ต่างหากสำคัญที่สุด

มีโอกาสได้พูดคุยกับบราเดอร์คนหนึ่ง ที่บ้านประสบกับปัญหาน้ำท่วม เรียกได้ว่าหนักมาก แต่เค้าก็ยังพูดทีเล่นทีจริงได้ว่า ...ตอนนี้ที่บ้านอยู่กันลำบากมาก ใช้ชีวิตเหมือนตู้กับข้าว มีน้ำหล่อขาเตียงตลอดเวลา เหมือนมีบ่อเลี้ยงปลาในบ้าน... เราจะขำไปก็ไม่ใช่ที่ คาดว่าคงเป็นอารมณ์ที่ไม่อยากวิตกกังวลหรือเป็นห่วงที่บ้านเกินไปมากกว่า พิมพ์ไปพิมพ์มา นึกเป็นห่วงคนที่อยุธยา สำหรับรายนั้นจนตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้อยู่ดี จะโทรไปบ่อยๆ ก็กลัวเค้าจะไม่สะดวก ยังไงก็ฝากคำภาวนาไปให้ล่ะกันนะคะ ขอพระเจ้าดูแลเสมอ แล้วที่รออ่านบล็อคของทราย ทรายอัพให้ล่ะนะ ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่อง “หมวกใบนั้น ที่เธอคนนั้นให้ฉันคนนี้” ก็ตาม :P

ปิดเทอมนี้ เป็นปิดเทอมแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยที่ “ว่าง” ว่างแบบจริงๆจังๆ สรุปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ไปค่ายที่ไหนเลยสักแห่ง แม้แต่ค่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไป เพราะทางบ้านก็เป็นห่วง กลัวน้ำจะมาที่บ้านเหมือนกัน เลยอยู่... "ให้อุ่นใจ" เพราะหากน้ำจะมาที่บ้านจริงๆ ฉันเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก การอยู่บ้านเฉยๆในปิดเทอมนี้ ทำให้มีเวลาได้คิดทบทวน ไตร่ตรอง ชีวิตมหาวิทยาลัยที่ผ่านมาของฉันได้พอสมควร

อยู่บ้านมาไม่ถึงอาทิตย์ ได้ยินป๊าพูดคำว่า “นานๆทีลูกจะได้อยู่บ้าน”
หรือแม่พูดว่า “ก็ปกติไม่รู้จะซื้อมาให้ใครกิน”
แม้กระทั่งอี๊พูดว่า “วันนี้ไม่นอนหรอ”
เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ มันทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองมากมาย
ทุกวันนี้ เราให้ความสำคัญกับครอบครัวน้อยเกินไปหรือเปล่า?
เราให้เวลากับพวกเขาน้อยเกินไปหรือเปล่า?
เราใส่ใจความรู้สึกของคนที่เค้ารักเรามากที่สุดน้อยไปหรือเปล่า?
ถ้าจะให้ตอบ คำถามเหล่านั้นไม่ได้ถูกปฎิเสธเลย ทุกวันนี้ยอมรับ... ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าครอบครัวจริงๆ จะนึกถึงครอบครัวขึ้นมาอีกทีก็ต่อเมื่อเรา “เจ็บ” กลับมาทุกครั้ง

อันที่จริง ปิดเทอมว่างๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ นอกจากจะได้คิดอะไรร้อยแปดพันเก้าแล้ว ยังได้ทำ “อะไร” หลายๆอย่าง ที่ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ยังไม่มีโอกาสได้ทำ เช่น นอนตื่น 10 โมง ดูหนังทั้งวัน หรือแม้กระทั่ง ไปสวดสายประคำกับที่บ้านในโอกาสเดือนแม่พระ เดือนตุลาคม...
เหมือนขาดหาย...

ไม่ได้สวดสายประคำกับที่บ้าน ในเดือนตุลามา 2 ปีเต็มแล้ว
ปี 1 ไปเป็นพี่บ้าน ค่ายผู้นำเยาวชนนักวิทยาศาสตร์ หรือค่าย YLSC ค่ายแรกซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการอยากเข้าเรียนในคณะ และมหาวิทยาลัยนี้ ตั้งแต่สมัยยังเป็นน้องม.5 อยากไปถ่ายทอดความรู้สึกดีๆที่้เคยได้รับกลับคืนไปให้แก่น้องๆ
ปี 2 ไปค่ายสัมผัสชีวิตชาวบ้านปะกาเกอะญอ (SIMPLE LIFE : ให้ชีวิตได้เรียนรู้ ไม่มีอยู่ก็สุขใจ) ที่หมู่บ้านพะแข่ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เป็นค่ายที่ประทับที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เรียบง่าย แม้ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ความรักและความจริงใจให้แก่กัน
ปี 3 ปีนี้.... ได้มีโอกาสสวดสายประคำกับครอบครัวซะที แถมวันอาทิตย์นี้ (16 ตุลาคม) พระอัครสังฆราชเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ก็จะมาเยี่ยมที่วัดของเราอีกด้วย คงมีโอกาสได้ต้อนรับท่าน :)

จะว่าไปแล้ว... สำหรับปิดเทอมนี้ แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วล่ะ สำหรับการปิดเทอมที่นานๆที จะได้ปล่อยให้ชีวิตได้ว่างบ้าง ได้นิ่งบ้าง เพื่อ reflection ตัวเอง ว่าแล้วอีกอย่างที่อยากทำ คือต้องปัดฝุ่นงานชมรมซะหน่อย ห่างหายไปนานแล้วนะ ได้เวลาลุย(อีกครั้ง)ซะที ^^
Go and tell them. แม้ไม่ต้องไปค่าย Go Go!!

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับช่วงเวลาดีๆ ของปิดเทอมนี้ ที่ทำให้มันมี “อะไร” ในความ “ไม่มีอะไร”