วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

ค่าย "SIMPLE LIFE : ให้ชีวิตได้เรียนรู้ ไม่มีอยู่ก็สุขใจ"

credit : ข่าวค่ายกลางปี บร.เอ แสงธรรม


....อะไร ยังไง กับค่ายนี้

          เดินทางไปถึงบ้านเซเวียร์ 09.20 . ลงทะเบียน และรับป้ายชื่อและสมุดบันทึก และเริ่มกิจกรรมเพื่อทำความรู้จัก ต่อด้วยการรับฟังบรรยาย อาทิ จุดประสงค์ คณะกรรมการ การดำเนินงาน กติกาค่าย ฯลฯ หลังจากอาหารเที่ยง เตรียมของและออกเดินทางไปขึ้นรถทัวร์เหมาที่ บริษัท สมบัติทัวร์ ไปแม่ฮ่องสอน

          เมื่อถึง จ.แม่ฮ่องสอน เดินเท้าไปที่ศูนย์คาทอลิก อ.ขุนยวม เพื่อเปลี่ยนรถขึ้นไปยังหมู่บ้านที่จะออกค่าย คือ หมู่บ้าน พะแข และพะโท (เป็นหมู่บ้านคาทอลิกทั้งสองหมู่บ้าน) เมื่อไปถึงก็เข้าบ้านของชาวบ้านที่เราจะไปอยู่ บ้างอยู่กันเป็นคู่ บ้างก็อยู่คนเดียว ค่ายครั้งนี้มีจำนวนนักศึกษาที่สมัครเข้าร่วม 25 คน จากต่างมหาวิทยาลัย เช่น เอแบค จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ รามคำแหง เกษตรศาสตร์ ฯลฯ หากรวมเจ้าหน้าที่และกรรมการด้วยก็ประมาณ 30 กว่าคน


กลิ่นไอจากดอย

          วิทยาลัยแสงธรรมได้รับเชิญจากศูนย์กลางฯ ให้เข้าร่วมค่ายกลางปี โดยมีตัวแทนนักศึกษาในสถาบันของเราเข้าร่วม 4 คน คือ นายณัฐพงษ์ แสนสุริวงศ์ / นายปฏิพัฒน์ กิจเต่ง/ นายปัตทวี วงศ์ศรีแก้ว และ นายขวัญชัย นาอุดม

          ตลอดการเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก เพราะ จ.แม่ฮ่องสอน มีโค้งมากกว่า 1,864 โค้ง ซึ่งถ้าหากใครไม่ชินกับทางคดโค้งมาก่อนก็อาจจะมีอาการเมารถได้ รวมไปถึงการเดินทางเข้าหมู่บ้าน ก็สุดแสนลำบาก เมื่อไปถึงทุกคนก็แยกย้ายเข้าบ้านพักของชาวบ้าน ซึ่งแบ่งเป็น 2 หมู่บ้าน ล้วนแต่เป็นคาทอลิก จุดประสงค์ของค่ายครั้งนี้ ก็เพื่อให้นักศึกษาได้จุ่มตัวเองเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับชาวบ้าน เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต วัมนธรรม ความเป็นอยู่ โดยการเข้าร่วมใช้ชีวิตตามสภาพครอบครัวที่ไปพักอยู่ด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ชาวบ้านจะประกอบอาชีพ เกษตรกร ทำไร่ เป็นหลัก ความเป็นอยู่ตามสภาพชาวดอย ไม่มีไฟฟ้า แต่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ อาหารหลัก คือ ผัก และน้ำพริก หาอาหารกินแบบวันต่อวัน ซึ่งได้จากธรรมชาติ การทำงานเป็นแบบช่วยเหลือกัน(ลงแขก) ไม่มีการใช้เงินจ้าง แบ่งปันกันตามอัตภาพ ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือ ปากาเกอยอ พูดภาษาไทยกลางได้บ้าง สื่อสารได้พอเข้าใจ

          
          ต้องขอบคุณทางศูนย์กลางฯ ที่ให้โอกาสวิทยาลัยของเรา ได้มีโอกาสเข้าร่วมค่ายดีๆแบบนี้ เราได้เห็นถึงความแข็งขัน มุ่งมั่นในการดำเนินงานของคณะกรรมการ ซึ่งเป็นความสมัครใจ ความเสียสละ การมีจิตอาสา อย่างที่ทราบคือ ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แต่คณะกรรมการทุกคนสมัครใจ และยินดีที่จะมีส่วนในการสานต่องานของศูนย์ฯ ให้สามารถขับเคลื่อนและดำเนินงานต่อไปได้ ทุกคนต้องเข้าประชุมเป็นกิจวัตรทุกสัปดาห์เพื่อวางแผนงานต่าง ๆ รวมไปถึงการประเมินงานทุกอย่างด้วย โดยที่ทุกคนเจียดเวลาหลังจากเลิกเรียนในตอนเย็นมาทำงานดังกล่าว และต้องเลิกประชุมดึก ๆ บ่อยครั้งถึงตี 2 ก็มี จากที่ได้ฟัง เราต้องชื่นชมและนำความประทับใจมายังเราในบรรดานิสิตเหล่านี้ ซึ่งมาจากต่างมหาวิทยาลัย และมีชื่อเสียง หากจะพูดไปคือคนที่ค่อนข้างมีอันจะกิน และเป็นเยาวชนที่อยู่ในสมัยของความก้าวหน้าทางวิทยาการ และเทคโนโลยี แต่พวกเขาเลือกที่จะฝึกฝนตนเอง รับใช้สังคม ด้วยการเรียนรู้ชีวิตแบบเรียบง่าย ด้วยการลงมือสัมผัสด้วยชีวิตของเขาเอง การทิ้งความเจริญทางวัตถุ พากันเข้าป่าหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อเติมเต็มให้ชีวิต โดยที่ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ไม่กลัวความยากลำบาก และเลือกที่จะปฏิเสธการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างที่เยาวชนไทยส่วนใหญ่กำลังชื่นชมอยู่เวลานี้ พวกเขา ไม่ได้มุ่งมั่นเพื่อปริญญาบัตรทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่มันเป็นปริญญาชีวิต ที่ต้องใช้ความวิริยะ อุตสาหะ และประการสำคัญ คือ ต้องใช้ทุนมหาศาล และไม่มีให้กู้ยืม นั่นคือ ทุนแห่งชีวิต เพื่อให้ได้ปริญญาใบนี้มาเป็นกรรมสิทธิ์

          ความเข้มข้นของการทำค่ายของพวกเขา เป็นเครื่องเตือนใจเราว่า พวกเขาเอาจริงเอาจังด้วยหัวใจที่ไร้อคติ จากกติกาค่าย เราเห็นความตั้งใจอันดีที่น่ายกย่อง เพราะเราที่เป็นผู้ที่กำลังรับการศึกษาอบรมในบ้านเณรยังไม่ปฏิเสธว่า มันไม่ง่ายต่อการปฏิบัติ แต่บรรดานิสิตเหล่านั้น เขาทำได้ ไม่ใช่เพราะจะถูกไล่ออกจากค่าย แต่เขามีความตั้งใจจริง ๆ ที่จะยอมให้ชีวิตได้รับการปั้นจากช่างปั้นมืออาชีพเพื่อหวังว่าชีวิตพวกเขาจะมีรูปทรงที่สวยงามในท่ามกลางสังคม อีกประการหนึ่งที่สำคัญยิ่งคือความเชื่อในพระเจ้าของนักศึกษาที่เข้าร่วมค่ายนั้น แสดงออกมาในการร่วมบูชามิสซาไม่ว่าจะเป็นคริสตชน หรือต่างความเชื่อ ล้วนแล้วแต่แสดงออกมาในภาคปฏิบัติอย่างชวนชื่นชม รวมถึงการสวดภาวนาที่แต่ละคนรังสรรค์ขึ้นมาเองด้วยหัวใจซื่อ ๆ ความเชื่อความศรัทธาของชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่ไหน ๆ เพราะในทุก ๆ เช้า พวกเขาจะพาลูก ๆ ไปรวมกันที่วัดของหมู่บ้านเพื่อสวดภาวนาเช้าด้วยกันทุกวัน และรวมไปถึงตอนเย็นด้วย เป็นความประทับใจที่ต้องสอนตัวเองว่า พวกเขากระหายพระเป็นเจ้า พวกเขาร้อนรนในการให้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า แม้จะไม่มีพระสงฆ์ที่อยู่กับเขาประจำ


          "การที่แสงธรรมได้เปิดตัวเองในค่ายต่าง ๆ ทำให้พวกเรา ได้เบิกตาตัวเองให้กว้างขึ้น มองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชีวิตของบรรดานักศึกษากลุ่มนี้ที่เราได้ร่วมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากพวกเขาในการรับใช้พระเจ้า รับใช้สังคมเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาเติมเต็มชีวิตแห่งการเรียนรู้ ในการรับใช้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ถือว่ามันเป็นภาระ แต่ถ้าหากจะเป็นภาระ ก็จักเป็นภาระแห่งความสุขที่อิ่มเอม"


          จากประสบการณ์ของหลาย ๆ คนที่แบ่งปันทำให้เราเห็นถึงการรู้จักใช้พระวาจาเป็นคู่มือชีวิตเพราะจากภาระหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียนก็หนักฉกรรจ์ แต่เขาก็ยินดีที่จะทำงานนี้ด้วยหัวใจแห่งการรับใช้ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ พวกเขาให้กำลังใจแก่กันและกัน เป็นความประทับใจที่ว่า พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยเหลือกัน ไม่ทิ้งกัน เขาทำงานกันแบบเครือข่าย ร่วมในทุกความรู้สึกของทุกคน พวกเขากำลังเจริญชีวิตแห่งพระวาจาร่วมกัน เป็นชีวิตพระวาจาที่สามารถมองเห็นได้ คำถามที่ชวนเราแสงธรรมถามก็คือ พลังอะไรชักนำให้พวกเขามารวมกันได้ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนมีฐานะดี มีความเป็นอยู่ที่ดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย กลับเลือกที่จะมาทำงาน มาเตรียมงาน มาเข้าร่วมในกิจกกรมดังกล่าวนี้ และมากไปกว่านั้น เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้าว ให้อาหารหมู ตำข้าว พวกเขากินได้ทุกอย่างที่ชาวบ้านเขากินกันโดยไม่รังเกียจ บ่อยครั้งที่มองชีวิตนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่ง เขาค่อนข้างสวย น่ารัก ดูเป็นคุณหนู แต่เขาทำทุกอย่างที่ครอบครัวที่เขาไปพักอยู่ด้วยทุกอย่าง เดินทางมากกว่า 10 กว่ากิโลเมตร ไปเกี่ยวข้าว เย็นมาให้อาหารหมู ไปหาอาหารในป่า ทำให้ต้องหันมองย้อนถึงชีวิตของตัวเองว่า ชีวิตของเพศแม่ที่ดูว่าอ่อนแอ แต่บ่อยครั้งเขาแข็งแกร่งกว่าเราผู้ชายอกสามศอกอย่างมากโข เป็นความประทับใจอย่างยากที่จะพรรณาได้

          จะเอาอะไรมาฝากสถาบันแสงธรรม ก็คงมีเพียงประสบการณ์ที่งดงาม ที่ครั้งหนึ่งได้เข้าร่วมในกิจกรรมของเยาวชนฆราวาสคาทอลิก ที่พวกเขาทำงานกันอย่างเข้มข้น ทุ่มเทเสียสละ พร้อมทุกเมื่อที่จะป็นส่วนหนึ่งในจะรับใช้พระเจ้า พร้อมเสมอที่จะให้โอกาสชีวิตของตนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ให้ชีวิตได้จุ่มตัวลงในประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ ใช้ช่วงเวลาปิดเทอมได้หยุด มอง เพื่อที่จะก้าวต่อด้วยความหวังใหม่อย่างมีพลัง ก้าวต่อไปด้วยความตั้งใจดีที่ได้จากค่าย ใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้ชีวิตได้อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่พึ่งเทคโนโลยี หรือความเจริญของโลก ลองวางความเจริญเหล่านั้นไว้ และมาเป็นเยาวชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไร แต่สามารถอยู่ได้อย่างสุขใจ เป็นความสุขที่ไม่มีใครเอาไปได้ อีกประการหนึ่งที่เราสามารถนำมาเป็นบทเรียนให้เราได้ก็คือ การประเมินตนเอง การไตร่ตรองถึงความร่ำรวยของการใช้ชีวิตตามพระวาจาเป็นประจำสม่ำเสมออย่างที่บรรดานักศึกษาเหล่านั้นได้ทำกัน พวกเขาไม่ได้เรียนเทววิทยา แต่พวกเขาสามารถแบ่งปันความร่ำรวยฝ่ายจิตได้อย่างน่าประทับใจ มีการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต แก่กันและกัน มันเป็นเหมือนกับการนำความร่ำรวยของจิตวิญญาณมารวมกัน และแบ่งปันกัน ด้วยประสบการณ์แห่งพระวาจาทรงชีวิต คงจะเป็นกระจกเงาส่องตัวเรา ที่จะไม่ใกล้เกลือกินด่าง บทเรียนราคาแพงชิ้นนี้ไม่มีขาย แต่เชื้อเชิญ ท้าทายเราให้มีประสบการณ์อย่างนี้เรื่อยไป


ไม่ได้สำคัญว่า...เรายืนอยู่ที่ไหน
ไม่ได้สำคัญว่า...ตอนนี้เรากำลังทำอะไร
ไม่ได้สำคัญว่า...ทุกสิ่งรอบข้างเราเป็นอย่างไร
แต่สำคัญ...ตรงที่เราสุขใจ...
ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร...ไม่มีทุกอย่าง แต่เราสุขใจ





เก็บมาฝาก... กับบรรยากาศค่ายบางส่วน


การเดินทางอันแสนชุ่มช่ำ

เดินเท้าเพื่อเข้าหมู่บ้าน

อีกนิดนึง จะถึงแล้ว

หมูป่า !!

เด็กที่นี่น่ารักมากๆ

ระหว่างทางเดินขึ้นดอยไปเกี่ยวข้าว

โบสถ์ประจำหมู่บ้าน
ประธานค่ายของเรา

หมอกยามเช้า

ร่วมมิสซาพร้อมชาวบ้าน

ประชุมเตรียมกิจกรรมหลังมิสซา

นำกิจกรรมเยาวชนในหมู่บ้าน

ไปหาของป่ากันเถอะ

ระหว่างทาง

อากาศดีมากๆ

ตามเรามา...

อาหารเย็นวันนี้

ผลไม้ยามบ่าย

ผู้นำทาง

ถึงหมู่บ้านแล้ว

ตำข้าว 

มือใหม่หัดร่อนข้าว หกเยอะเลยล่ะซิ อิอิ

เมืองสามหมอก

ระหว่างมิสซา

มิสซาโดยคุณพ่อมหาร์ โซโน โปรโบ, เอส.เจ.

ข้าวเบ๊อะ !!

อาหารมื้อแรกเมื่อถึงหมู่บ้าน

ชาวบ้าน เอ๊ยย นักศึกษา..

นำเกมเยาวชน แต่กลายเป็นนักศึกษาโดนลงโทษเองซะงั้น

ผู้ร่วมชีวิตที่หมู่บ้านพะแข่จ้าาา

เดินทางกลับมายังศูนย์คาทอลิกขุนยวม

ตามกันมา...

เพื่อนๆ ที่ไปใช้ชีวิตที่หมู่บ้านพะโท

พะโทอีกเช่นเดียวกัน

อ้าวแบกกกกก ลุย !!

เข้าป่าอีกแล้ววว

ปรับปรุงป้ายให้หมู่บ้านพะโทใหม่

บรรยากาศที่หมู่บ้านพะโท

กิจวัตรประจำวันของชาวบ้าน

สมชื่อเมืองสามหมอกจริงๆ

แบ่งปัน..

เดินเท้าไปยังศูนย์คาทอลิกขุนยวม

แบ่งปันสิ่งที่ได้รับตลอด 4 วันที่อยู่ที่หมู่บ้าน

อ่านกล่องใส่ใจ

แบ่งปันกันเป็นคู่ๆ

วิทยากรพิเศษ

ไตร่ตรองด้วยชีวิต...
credit รูปสวยๆ : พี่ไอซ์ พี่ทรายกลาง



เจ้าของบล็อคขอกล่าวเพิ่มเติม...

ค่ายนี้จัดขึ้นโดย ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
หากใครได้ชมภาพบรรยากาศของค่ายครั้งที่ผ่านมาแล้วสนใจ เรามีข่าวดีมาบอกค่ะ
เพราะทางศูนย์ฯกำลังจะจัดค่ายครั้งใหม่ 
ค่ายสัมมนาและสมัชชาใหญ่ประจำปีการศึกษา 2553 ขึ้น
ในหัวข้อ "ปัญหาโลกแตก !?" ณ ศูนย์เยาวชนบ้านดอนบอสโก หัวหิน 
ระหว่างวันที่ 18-22 พฤษภาคม 2554
ใครอยากสัมผัสบรรยากาศความสนุกสนาน มิตรภาพ ความอบอุ่น ของค่ายของนักศึกษา 
พวกเรายินดีต้อนรับค่ะ :)

คุณสมบัติของผู้ร่วมค่าย
1. นิสิตนักศีกษาไม่จำกัดศาสนาทุกสถาบัน ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี  อายุไม่เกิน23 ปี
2. สามารถอยู่ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
3. ยินดีและเต็มใจแสวงหา พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆให้กับตนเองและเพื่อนๆ
4. เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงค่ายได้ทุกข้อ

สอบถามรายละเอียดหรือสมัครได้ที่ www.carefor.org/student
www.facebook.com/cuctxavier 
หรือที่ จูน 086-9082455    อีฟ 085-9377578

แล้วพบกันในค่ายนะคะ ^^

1 ความคิดเห็น:

Pituporn กล่าวว่า...

อีกหนึ่งค่ายดีๆในความทรงจำ ที่ต้องยิ้มทุกครั้งเมื่อคิดถึง :)